เลือกภาพที่จะวาดได้แล้วทำอย่างไร?
ชั้นแรก คือการร่างภาพ
เพื่อขึ้นโครงร่างของรูปทรงของวัตถุที่เราจะวาด แบบคร่าวๆก่อนลงมือวาด
ซึ่งโดยมากจะขึ้นเป็นรูปทรงเรขาคณิตแบบง่ายๆ เช่นทรงกระบอก ทรงกลม ทรงสี่เหลี่ยม
การมองภาพวัตถุที่เราจะวาดให้ออกว่าจะขึ้นโครงด้วยรูปทรงอย่างไรนั้นถือเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับแอนิเมเตอร์
ซึ่งทำให้การวาดวัตถุง่ายในการทำความเข้าใจรูปทรงนั้นๆ
การวาดขึ้นโครงนั้นสำหรับแอนิเมเตอร์แม้คนที่วาดเก่งแล้วก็ยังต้องมีการร่างภาพก่อนทุกครั้งเสมอ
มีนักวาดภาพมืออาชีพหลายคนวาดภาพโดยไม่ต้องสเก็ตก่อน เพราะมีความมั่นใจมาก
แต่สำหรับการทำแอนิเมชัน 2D
การสเก็ตถือเป็นการฝึกฝนให้มีนิสัยเคยชินในการร่างภาพก่อนลงเส้นจริง
เพราะการวาดโดยไม่สเก็ตก่อนนั้นมีโอกาสที่จะวาดผิดสัดส่วนนั้นมีมากกว่า
ยิ่งกับงานแอนิเมชั่นที่ต้องวาดวัตถุเดิม ซ้ำๆโดยเปลี่ยนมุมมองไป-มาด้วยแล้วยิ่งจะเกิดความผิดเพี้ยนได้ง่ายมาก
ในการร่างภาพแต่ละครั้งควรมีการวัดขนาดสัดส่วนของวัตถุที่จะวาดให้ถูกต้องด้วย
ซึ่งคงจะไม่ดีแน่
ถ้าเราวาดไปจนใกล้เสร็จแล้วค่อยมารู้ว่าเราวาดผิดสัดส่วนซึ่งการวัดขนาดสัดส่วนของวัตถุ
หรือคาแร็คเตอร์ก็เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการทำ Anime ที่ต้องวาดให้ถูกสัดส่วนตั้งแต่คีย์เฟรม
แผ่นแรกจนแผ่นสุดท้ายของแต่ละคาแร็คเตอร์เลยทีเดียว วิธีการกำหนดสัดส่วน
เริ่มแรกเราก็ต้องกำหนดเอาว่าจะยึดระยะจากจุดใดถึงจุดใดเป็นหน่วยวัดแรก
แล้วต่อมาจึงมากำหนดให้เป็นมาตราส่วนเป็นกี่เท่าของหน่วยวัดนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าเราจะวาดคาแร็คเตอร์จากพลาสติกโมเดลซักตัว
(ขอยกตัวอย่างคาแร็คเตอร์ที่มีลักษณะเหนือจริง
เพื่ออธิบายให้เห็นภาพและเกิดความใจได้ง่ายขึ้น)ก็กำหนดหน่วยวัดโดยดูลักษณะของโมเดลที่เราจะวาดว่า
เป็นรูปทรงหรือมีโครงสร้างแบบใด เช่น หัวเล็ก ลำตัวกว้าง ขาสั้น
และถ้าลากเส้นแบ่งวัตถุ ออกเป็นสองส่วนแล้วสมมาตร(symmetry)กันหรือไม่
ซ้ายขวามีอะไรที่แตกต่างหรือเหมือนกันอย่างไรซึ่งตรงนี้ก็มีหลายคนมองข้ามไปหรือนึกไม่ถึง
ทำให้วาดคาแร็คแตอร์ตาสองข้างไม่เท่ากัน แขนซ้ายกับแขนขวายาวไม่เท่ากันบ้าง
ซึ่งการแก้ไขทำได้โดย ในระหว่างที่เราวัดสัดส่วน ก็ขีดเส้นแนวระนาบจากวัตถุทั้งสอง
คือถ้าจะวาดตาก็ขีดแนวเส้นตา โดยเอาเส้นแบ่งกลางวัตถุที่เราวาด
ไว้เป็นตัวกำหนดระยะห่างของตาทั้งสองด้าน
โดยเส้นแนวระนาบนี้ก็ต้องอยู่ในแนวเส้นเพอร์สเปคทีฟ (Perspective) เดียวกันด้วย(ซึ่งจะอธิบายโดยละเอียดอีกครั้งในหัวข้อ Perspective)จากนั้นก็ดูว่าเราจะแบ่งคาแร็คเตอร์เป็นกี่ส่วนเพื่อง่ายต่อความเข้าใจของเรา
(เน้นว่าของเรานะครับ..เพราะแต่ละคนมีวิธีการกำหนดสัดส่วนต่างกันตามความเข้าใจของแต่ละคน)
แล้วสร้างหน่วยวัดขึ้นมาโดยในหนึ่งคาแร็คเตอร์อาจมีหลายหน่วยวัด เช่น 3ความกว้างศรีษะ=1ลำตัว,1ช่วงแขน=ศรีษะ+ลำตัว,1ช่วงขา=1/2ลำตัว เป็นต้น
โดยเมื่อเราได้สัดส่วนกว้างๆแล้ว เราก็สามารถกำหนดสัดส่วน
ด้วยวิธีดังกล่าวกับรายละเอียดในส่วนอื่นที่ย่อยลงไปอีกอย่างความถี่ห่างของลายเสื้อ
ความยาวของผมกับลำตัว โดยหน่วยวัดจะเล็กลงตามรายละเอียดของคาแร็คเตอร์
ซึ่งจะเป็นหน่วยวัดที่เอาไว้สร้างความเข้าใจให้กับเราในการ 'วาดคาแร็คเตอร์ตัวเดิมในมุมอื่นๆ'
ด้วยสำหรับการวัดสัดส่วนสำหรับงานวาดเส้นถ้าเป็นการวาดจากภาพถ่ายเราก็สามารถวัดจากภาพได้โดยตรงแต่ถ้าเป็นการวาดจากวัตถุที่มีขนาดใหญ่มีพื้นที่กว่างกว่ากระดาษของเราหรือวาดขยายจากวัตถุเล็กสามารถทำได้โดยหามุมที่จะวาดแล้วใช้มือจับดินสอยืดแขนจนสุดเพื่อสามารถวัดสัดส่วนของวัตถุให้อยู่ในแนวระนาบการวัดที่แน่นอนหลับตาหนึ่งข้างเพื่อให้ตาได้โฟกัสภาพที่จุดเดียวแล้วใช้ดินสอวัดสัดส่วน
จากวัตถุที่จะวาด
แล้วเอาสัดส่วนนั้นมาขยายหรือย่อลงบนกระดาษสำหรับวัตถุทีมีขนาดเล็ก
ใกล้ตัวเราก็ใช้หลักการเดียวกันแต่ในการวัดระยะจากวัตถุแต่ละครั้งควรวัดให้อยู่ในระนาบเดียวกันเสมอโดยในหัวข้อนี้อยากให้ลองวาดวัตถุแยกเป็นชิ้นๆเพื่อฝึกฝนจนคล่องก่อนแล้วจึงเพิ่มจำนวนและขนาดวัตถุ
ที่มีความลดหลั่นกันในภายหลัง
รวมไปถึงเรื่องของระยะวัตถุแต่ชิ้นและการจัดองค์ประกอบภาพ(ซึ่งจะอธิบายโดยละเอียดอีกครั้งในหัวข้อ
Composition)
เมื่อเราสเก็ตจนได้รูปทรงที่พอใจแล้วเราก็เริ่มลงเส้นจริงโดยวาดเส้นในส่วนที่เป็นโครงภาพ
รวมๆก่อนแล้วจึงค่อยมาใส่รายละเอียดในภายหลัง เช่น ถ้าเราวาดรูปจากแบบคาแร็คเตอร์
ที่มีเครื่องประดับ(accessory)
เยอะก็ควรลงเส้นในส่วนลำตัว กล้ามเนื้อ แขน ขา
แล้วจึงวาดในส่วนของเสื้อ กางเกง กระโปรง รอยยับ
แล้วค่อยกลับมาใส่รายละเอียดของสร้อยคอ นาฬิกา มงกุฏ และลายเสื้อ
(ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับรอยยับของผ้าที่วาดไว้ในตอนแรก) ในภายหลัง
เพราะการลงเส้นแบบไล่เรียงตามลำดับ
จะทำให้เราสามารถตรวจเช็คในแต่ละส่วนก่อนที่จะใส่รายละเอียด เช่น ถ้าเรารีบร้อนใส่รายละเอียดของลวดลายเสื้อผ้าไปก่อนแล้วมาเห็นทีหลังว่ารูปทรงของเสื้อนั้นผิด
ซึ่งอาจสั้นไปหรือยาวไปลวดลายที่วาดเอาไว้ ก็ต้องลบทิ้งวาดใหม่อีกรอบ
ซึ่งการวาดบนกระดาษไม่มีการแยก เลเยอร์(Layer)แบบในโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ดังนั้นการวางแผนในการวาดให้ดีก่อน จะทำให้การทำงานง่ายขึ้น
และเป็นการฝึกการลำดับความคิดอย่างมีระบบอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น